ลาสเวกัส คาสิโน รู้จักกับ Las Vegas จากเมืองกันดารสู่มหานครแห่งคาสิโน ประมาณการกันว่า ในแต่ละปี มีเงินหมุนเวียนในเมือง ลาสเวกัส ของรัฐเนวาดาตกปีละหลายล้านล้านเหรียญฯ ทั้งยังรั้งตำแหน่งเมืองที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นลำดับที่ 28 ของสหรัฐอเมริกา ดำรงด้วยตึกสูงเสียดฟ้า อันเป็นสัญลักษณ์ของความล้ำสมัย และมีจำนวนประชากรเพิ่มเฉลี่ยมากขึ้นทุกปีอย่างเห็นได้ชัด
1668x ลาส เวกัส (Las Vegas) หมายความถึง “ทุ่งหญ้า” ในภาษาสเปน ที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่ากันว่า นักสำรวจชาวเม็กซิกันอย่าง อันโตนิโอ อาร์มิโจ เดินทางมากับคณะคาราวาน และตกตะลึงกับความกว้างใหญ่ของแผ่นดินที่ทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา กับสภาพแวดล้อมที่มีแค่หุบเขาไกลลิบ ปราศจากบ้านเมืองหรือสิ่งก่อสร้างใดๆ มีเพียงชาวอินเดียนแดงจำนวนหนึ่งที่อยู่ประจำการมาก่อนแล้วเท่านั้น เขาจึงเรียกมันว่า ลาสเวกัส
อันหมายถึงดินแดนที่เต็มไปด้วยหญ้า กว่าที่ดินแดนนี้จะมีคนเดินทางเข้ามาตั้งรกรากก็อีกหลายปีให้หลัง จอห์น ฟรีมอนต์ นักสำรวจและอดีตนายทหารของกองทัพสหรัฐฯ มาค้นพบ ลาสเวกัส เข้าและเขียนรายงานส่งกลับไปยังทางการว่า มันยังเป็นเมืองที่แทบไม่มีใครมาใช้ชีวิตอาศัย หลังจากนั้นอีกสิบปี ลาสเวกัส ก็กลายมาเป็นแหล่งทำกินของเหล่านักสำรวจ รวมถึงมิชชันนารี่ที่มาเผยแผ่ศาสนามากหน้าหลายตา จนทางการก่อตั้งอาคารขึ้นให้เป็นที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่ ให้แยกห่างออกจากชาวอินเดียนแดงที่เป็นชนพื้นเมืองของที่นี่
ลาสเวกัส คาสิโน เมืองแห่งการเดิมพันของโลก
ในระยะแรก ยังไม่มีใครเห็นโอกาสว่าจะสร้างมันให้เป็นเมืองแห่งการเดิมพันของโลก หากแต่ขนาดใหญ่โตก็ทำให้รัฐเล็งเห็นว่า ต้องสร้างการคมนาคมให้สะดวกขึ้นสำหรับการเดินทางเสียก่อน สถานีรถไฟจึงงอกเพิ่มขึ้นมาเป็นระยะๆ ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งทำให้นักลงทุนจากรัฐอื่นๆ สบโอกาสมองเห็นว่าเป็นไปได้ที่ ลาสเวกัส อันรกร้างแห่งนี้จะกลายเป็นเมืองใหญ่ในอนาคต
เพราะทำเลกว้างขวางและมีรถไฟในที่สุด! วิลเลียม แอนดรูวส์ คลาร์ค อดีตนักการเมืองของสหรัฐฯ -ซึ่งในเวลาต่อมามีการตั้งชื่อเขตในลาส เวกัสตามชื่อเขาอย่างเขตคลาร์ค เคาน์ตี- เป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่เก็งราคาที่ดินแถบรถไฟจนเกิดการสะพัดของเงิน และแรงงานในละแวกนั้น ก่อนที่ในอีกร้อยปีให้หลัง ชุมชนย่านนั้นจะขยับขยายกลายมาเป็นย่าน ‘ดาวน์ทาวน์’ ใจหลางเมืองที่พลุกพล่านและหลากสีสันที่สุดของลาส เวกัส
มีการนำสุรา ยาเสพติดและสารมึนเมาอื่นๆ เข้ามาขายแต่ก็จำกัดในไม่กี่บริเวณเท่านั้น เรียกกันว่าเขตไฟสีแดง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รู้กันว่ามีการอนุญาตให้ซื้อขายสินค้าประเภทนี้ จากนั้น บาร์ โรงแรม และที่พักอื่นๆ ก็ทยอยผุดขึ้นมาในย่านนั้นเป็นดอกเห็ด
ตามมาด้วยนโยบายให้การพนันเป็นสิ่งถูกกฎหมายในปี 1910 อันเป็นจุดหมายสำคัญที่ทำให้อดีตทะเลทรายไร้ผู้คนแห่งนี้ ได้รับความนิยมขึ้นมาอย่างใหญ่หลวง แน่นอนว่ามันตามมาด้วยความอลหม่านไม่น้อย เพราะมีหลายคนที่มองว่ามันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง มิหนำซ้ำ ความที่มันเป็นเมืองที่มีเงินไหลเข้าออกแทบตลอดเวลา ทำให้คดีอาชญากรรมพุ่งกระฉูดเป็นเงาตามตัว จนได้ฉายาว่าเป็น ‘เมืองคนบาป’ หรือ Sin City
ลาสเวกัส เมืองที่ไม่เคยเว้นว่างจากผู้มาเยือน
หากแต่ชื่อเสียงอันตรายของ ลาสเวกัส ก็ไม่ได้ทำให้มันเป็นที่นิยมน้อยลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ผู้คนกลับทยอยอพยพเข้ามาอยู่อาศัยอย่างหนาตา ด้านหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือเพราะมันเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยแหล่งเริมรมย์ (แถมยังถูกกฎหมายอีกแน่ะ!) หลายคนจึงมาลงหลักปักฐานที่นี่ เพื่อที่ว่าหลังจากเหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวัน พวกเขาจะได้ตรงเข้าไปหย่อนใจที่บาร์ซึ่งมีให้เลือกทั่วทั้งเมือง
จนปี 1931 ที่เนวาดาประกาศให้บ่อนคาสิโนเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ลาสเวกัส จึงเป็นเสมือนเมืองทองคำที่ใครต่อใครก็อยากกระโจนเข้ามาแสวงโชคด้วยกันทั้งนั้น ทั้งบ่อนคาสิโนนี้ยังเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวหยุดพัก เพื่อลงเดิมพันสักคืน (หรือบางทีก็หลายคืน) จนโรงแรมและที่พักของ ลาสเวกัส ไม่เคยเว้นว่างจากผู้มาเยือน